หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2563

แม้ต้องฉลองคริสตมาสตามลำพัง!

 

มีหลายคนที่ต้องฉลองวันพระคริสตสมภพโดยต้องอยู่เพียงคนเดียวตามลำพัง

                สำหรับบางคนนี่อาจะเป็นครั้งแรก หรืออาจจะเป็นเพราะปีนี้โลกต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาดทำให้สิ่งที่เคยเป็นปกติกลับแตกต่างไปจากเดิม หรืออาจเรื่องธรรมดาสำหรับบางคนที่ต้องอยู่ตามลำพังอยู่แล้ว

                บางคนเป็นโสดและใช้ชีวิตคนเดียวลำพัง หรือต้องอยู่คนเดียวเพราะคู่ชีวิตจากไปแล้ว หรือเพราะตัดสินใจแยกกันอยู่ หรือต้องจากครอบครัวเพราะเหตุผลบางอย่าง

                อาจะเป็นเพราะปัญหาสุขภาพ สภาพอากาศ หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ที่เป็นอุปสรรคทำให้คริสตชนไม่สามารถไปร่วมฉลองวันพระคริสตสมภพที่โบสถ์ได้ แม้บางทียังสามารถร่วมกันฉลองในคืนพระคริสตสมภพหรือเช้าวันคริสมาสร่วมกันในชุมชนแห่งความเชื่อได้ แต่เวลาที่เหลือก็ยังต้องอยู่เพียงลำพัง เช่น ผู้ที่อยู่ในสถานบริบาล หรือโรงพยาบาล หรือคนที่อยู่ระหว่างการเดินทางเพราะมีกิจธุระสำคัญ

                สำหรับผู้ที่ต้องฉลองวันพระคริสตสมภพตามลำพัง วันคริสตมาสก็ยังคงเป็นโอกาสของพระพร ในความโดดเดี่ยวยังสามารถทำให้เรารับได้รับพระหรรษทานที่เป็นของขวัญจากพระคริสตเจ้าในแบบที่พิเศษมากก็ได้ เราอาจถูกผจญจากความรู้สึกหมดกำลังใจและรู้สึกเศร้าหมองเพราะความโดดเดี่ยว เป็นการผจญที่ดึงให้เราสนใจตัวเราเองมากกว่าการไตร่ตรองถึงการเสด็จมาของพระกุมารเจ้า การต่อสู้กับการผจญนี้สามารถทำได้ด้วยการเปิดใจของเรารับพระพรต่างๆ ในช่วงเวลาของการฉลองวันคริสตมาสนี้

                พระพรประการแรกสำหรับช่วงเวลาพิเศษนี้ คือ เวลา เทศกาลพระคริสตสมภพเป็นช่วงเวลาพิเศษให้เราได้ฉวยไว้เป็นโอกาสสำหรับเราที่จะไตร่ตรองรำพึงภาวนาถึงเรื่องราวต่างๆ เช่น

  • -        เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับของเศคาริยาห์และนางเอลิซาเบธ
  • -        การเดินทางของนักบุญโยเซฟและพระแม่มารีย์เพื่อไปยังเบธเลเฮมในค่ำคืนอันหนาวเหน็บและไม่สามารถหาที่พักได้
  • -        การบังเกิดของพระกุมารในคอกเลี้ยงสัตว์
  • -        บรรดาคนเลี้ยงแกะมาเฝ้าพระกุมาร
  • -        บรรดานักปราชญ์มาเฝ้าพระกุมาร
  • -        เหตุการณ์ที่ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์หนีไปประเทศอียิปต์
  • -        การใช้ชีวิตที่ซ่อนเร้นของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ในนาซาเรท

 

ให้เราอ่านพระคัมภีร์ที่บรรยายเรื่องราวที่เราเลือกจะรำพึงภาวนา จากนั้นก็ปล่อยให้เรื่องราวนั้นไหลเข้าสู่จินตนาการของเรา โดยเราเริ่มต้นการไตร่ตรองรำพึงอย่างลึกซึ้งถึงเหตุการณ์ที่อ่านไปนั้นโดยจินตนาการว่าเราเองก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เพื่อที่จะรับรู้ถึงประสบการณ์ตรงจากเรื่องราวที่กำลังดำเนินไป 

ให้เราใช้เวลาเพื่อพิจารณารายละเอียดของเหตุการณ์ เสียงที่ได้ยิน กลิ่น มองดูเครื่องแต่งกายและการพูดคุยกันของผู้คน ให้เราพิจารณาสีหน้า อารมณ์ความรู้สึก คำภาวนาต่างๆ ของตัวละครที่เราพบ และซึมซับสิ่งต่างๆ ทั้งหมดด้วยใจของเรา 

แล้วให้เราร่วมเป็นส่วนหนึ่งในฉากเหตุการณ์นั้น โดยร่วมยินดีไปกับบรรดาคนเลี้ยงแกะเมื่อพระกุมารบังเกิด ปลอบใจท่าน น.โยเซฟ และพระแม่ หรือการได้อุ้มพระกุมารไว้ และการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ซ่อนเร้นของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์     

 

พระพรประการที่สอง คือ เราได้รับโอกาสที่จะทำให้เราได้สร้างความสัมพันธ์กับบรรดาบุคคลพิเศษที่อยู่ในแผนการไถ่กู้ของพระเจ้า นี่จะเป็นช่วงเวลาแสนพิเศษที่จะใช้โอกาสที่เราต้องอยู่คนเดียวตามลำพังเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับพระแม่มากยิ่งขึ้น พระแม่เป็นทั้งมารดาพระผู้ไถ่และอัครสาวกคนแรกของพระเยซูเจ้า ถ้าเราสังเกตบทบาทต่างๆ ของพระแม่ก็จะพบว่า พระแม่คือคนแรกที่ร้องขอแทนเราเสมอ 

ระหว่างช่วงแห่งการภาวนาที่พิเศษนี้ ให้เราได้คุยกับ (พระ) แม่ ด้วยภาษาง่ายๆ เล่าให้แม่ฟังว่าตอนนี้เราเป็นยังไงบ้าง และคอยฟังว่าแม่จะเล่าอะไรให้เราฟังบ้าง ซึ่งบางทีแม่อาจเล่าเรื่องการทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ความกังวลใจและความเชื่อมั่นใจพระเจ้าในคืนพระกุมารบังเกิด หรืออาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับความขัดสนที่คอกสัตว์และการที่บรรดาคนเลี้ยงแกะมาร่วมยินดีกับพระแม่ เราจะได้รับการปลอบโยนทำให้เกิดความบรรเทาใจเป็นอย่างยิ่งจากการสนทนานี้ รหัสธรรมการไถ่กู้ที่เปี่ยมด้วยความรักและเมตตาของพระเจ้าซึ่งไม่เพียงลงมาบังเกิดในคอกเลี้ยงสัตว์ในคืนนั้น พระองค์ยังสามารถเสด็จมาบังเกิดภายในคอกเลี้ยงสัตว์ของเราซึ่งก็คือภายในจิตใจของเราด้วยเช่นเดียวกัน 

                การหันมาพึ่งพระแม่จะทำให้เรามีพลัง และเราสามารถขอให้พระแม่เป็นผู้วอนขอแทนเรา หรือเมื่อเราภาวนาเพื่อคนที่เรารัก และสำหรับโลก ในยามที่เราโดดเดี่ยว เรากลับกลายเป็นเครืองมือที่จะนำพระพรของพระเจ้าไปยังผู้อื่น เรากำลังเปลี่ยนให้ความเดียวดายของเรากลายเป็นรหัสธรรมแห่งความรักและความเมตตาที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

                คำว่ารางหญ้า หรือ Manger มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน แปลว่า “กิน” หรือ “To eat” พระเยซูเจ้าผู้ทรงเสด็จมาท่ามกลางความยากจนข้นแค้นของพวกเรา พระองค์ไม่เพียง “ประทับอยู่ท่ามกลางเรา” แต่ยังทรง “หล่อเลี้ยง” พวกเราด้วย รางหญ้าเป็นเครื่องหมายฝ่ายจิตที่หมายความว่าเราจะได้รับการหล่อเลี้ยงในจิตใจจากการที่พระองค์ทรงตอบรับเรา รักเรา และประทานสันติสุขเมื่อพวกเรามาร่วมกันฉลองวันคริสตมาสกับพระองค์ จะไม่มีความมืดมิดที่ทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยว จะไม่มีสถานการณ์ใด ความสูญเสียใด กระทั่งความเศร้าโศกใดที่ทำให้ต้องรู้สึกว่างเปล่าอีกต่อไป และจะไม่มีบาปหรือความเห็นแก่ตัวใดที่จะแยกเราให้ออกห่างจากความรักของพระองค์ได้อีกเลย

                บางทีพระพรในยามโดดเดี่ยวนี้อาจกลายเป็นของขวัญน้ำค่าสำหรับผู้ที่ยอมมอบตนไว้กับพระเจ้า

แม้ว่าบางเวลาความโดดเดี่ยวทำให้เราต้องรู้สึกไม่พอใจ สงสารตัวเอง หรือโกรธ ซึ่งทำให้เราพาลโมโหคนอื่นและสิ่งต่างๆ รอบตัว อารมณ์ด้านลบเหล่านี้เป็นเหมือนมะเร็งร้ายที่กัดกร่อนจิตใจเรา ทำให้เราสูญเสียความรู้สึกสันติสุขและความยินดีในใจ จนถึงขั้นแสดงอาการออกมาภายนอก เช่น ชี้นิ้วไปที่คนอื่น หรือเคาะโต๊ะด้วยความไม่พอใจ เราไม่สามารถจะยอมรับใครหรืออะไรซักอย่าง ฯลฯ

การยอมมอบตนเองไว้กับพระเจ้าและใช้โอกาสที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวนี้เข้าสู่การภาวนา จะเป็นหนทางหนึ่งที่เราสามารถตระเตรียมตัวเองเพื่อต้องรับพระมหาไถ่ซึ่งพระองค์จะเสด็จมาในจิตใจของเราพร้อมกับของประทานจากพระองค์ซึ่งก็คือความเมตตาและสันติสุข

หากเป็นไปได้ เราอาจจะเตรียมการเฉลิมฉลองคริสตมาสด้วยการขอรับศีลแห่งการคืนดีก่อนล่วงหน้าเพื่อให้เราได้ซาบซึ้งถึงความอดทน ความรัก และความเมตตาแห่งการอภัย ที่พระองค์มีต่อเรา

หรืออย่างน้อยๆ เราสามารถใช้เวลาส่วนตัวอย่างศักดิ์สิทธิ์ในการพิจารณามโนธรรมด้วยความถ่อมตน ขอโทษพระองค์และทำกิจใช้โทษบาปแทน เมื่อเราสามารถยอมรับความจริงเกี่ยวกับตัวเราได้ เราเป็นใคร? เราอยู่ที่ไหน? ฯลฯ ก็จะเป็นเวลาที่เหมือนเราได้รับการยอมรับและได้รับการสวมกอดไว้ สิ่งที่ทำให้ความโกรธและการคิดถึงแต่ตัวเองนั้นจะค่อยๆ มลายสลายไปได้

เมื่อเราสามารถเปิดใจของเราได้ ยอมมอบตนเองไว้กับพระเจ้า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ พระเจ้าข้า โปรดให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด” 

การสำนึกถึงพระคุณของพระเจ้านั้นเป็นพระพรยิ่งใหญ่ของการฉลองวัน คริสตมาส ซึ่งแม้เราจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เราก็สามารถได้รับพระคุณนี้ได้เพียงแค่เราเปิดใจของเรา ใช้เวลากับการภาวนาอาจเพียงไม่กี่นาที หรืออาจใช้เวลานานกว่านี้ก็ได้ ซึ่งจะทำให้เราสามารถฉลองคริสตมาสที่เปี่ยมด้วยพระพรจากพระองค์ได้เสมอ 

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อจิตใจเราเปี่ยมไปด้วยพระพรของพระเจ้าแล้ว เรายังสามารถบอกต่อให้ผู้อื่นได้รู้ว่า “เราสามารถมอบของขวัญพิเศษจากการภาวนาเช่นนี้ได้อย่างไร”

 

 

 

 

 

เรียบเรียงโดย Amadeus De Emmaus 

จาก https://onlineministries.creighton.edu/CollaborativeMinistry/Advent/Christmas-Alone.html

Creighton University

A Jesuit Catholic University in Omaha, Nebraska, USA

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น