มีหลายคนที่ต้องฉลองวันพระคริสตสมภพโดยต้องอยู่เพียงคนเดียวตามลำพัง
สำหรับบางคนนี่อาจะเป็นครั้งแรก
หรืออาจจะเป็นเพราะปีนี้โลกต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาดทำให้สิ่งที่เคยเป็นปกติกลับแตกต่างไปจากเดิม
หรืออาจเรื่องธรรมดาสำหรับบางคนที่ต้องอยู่ตามลำพังอยู่แล้ว
บางคนเป็นโสดและใช้ชีวิตคนเดียวลำพัง
หรือต้องอยู่คนเดียวเพราะคู่ชีวิตจากไปแล้ว หรือเพราะตัดสินใจแยกกันอยู่
หรือต้องจากครอบครัวเพราะเหตุผลบางอย่าง
อาจะเป็นเพราะปัญหาสุขภาพ
สภาพอากาศ หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย
ที่เป็นอุปสรรคทำให้คริสตชนไม่สามารถไปร่วมฉลองวันพระคริสตสมภพที่โบสถ์ได้
แม้บางทียังสามารถร่วมกันฉลองในคืนพระคริสตสมภพหรือเช้าวันคริสมาสร่วมกันในชุมชนแห่งความเชื่อได้
แต่เวลาที่เหลือก็ยังต้องอยู่เพียงลำพัง เช่น ผู้ที่อยู่ในสถานบริบาล หรือโรงพยาบาล
หรือคนที่อยู่ระหว่างการเดินทางเพราะมีกิจธุระสำคัญ
สำหรับผู้ที่ต้องฉลองวันพระคริสตสมภพตามลำพัง
วันคริสตมาสก็ยังคงเป็นโอกาสของพระพร ในความโดดเดี่ยวยังสามารถทำให้เรารับได้รับพระหรรษทานที่เป็นของขวัญจากพระคริสตเจ้าในแบบที่พิเศษมากก็ได้
เราอาจถูกผจญจากความรู้สึกหมดกำลังใจและรู้สึกเศร้าหมองเพราะความโดดเดี่ยว
เป็นการผจญที่ดึงให้เราสนใจตัวเราเองมากกว่าการไตร่ตรองถึงการเสด็จมาของพระกุมารเจ้า
การต่อสู้กับการผจญนี้สามารถทำได้ด้วยการเปิดใจของเรารับพระพรต่างๆ ในช่วงเวลาของการฉลองวันคริสตมาสนี้
พระพรประการแรกสำหรับช่วงเวลาพิเศษนี้
คือ เวลา
เทศกาลพระคริสตสมภพเป็นช่วงเวลาพิเศษให้เราได้ฉวยไว้เป็นโอกาสสำหรับเราที่จะไตร่ตรองรำพึงภาวนาถึงเรื่องราวต่างๆ
เช่น
- - เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับของเศคาริยาห์และนางเอลิซาเบธ
- - การเดินทางของนักบุญโยเซฟและพระแม่มารีย์เพื่อไปยังเบธเลเฮมในค่ำคืนอันหนาวเหน็บและไม่สามารถหาที่พักได้
- - การบังเกิดของพระกุมารในคอกเลี้ยงสัตว์
- - บรรดาคนเลี้ยงแกะมาเฝ้าพระกุมาร
- - บรรดานักปราชญ์มาเฝ้าพระกุมาร
- - เหตุการณ์ที่ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์หนีไปประเทศอียิปต์
- - การใช้ชีวิตที่ซ่อนเร้นของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ในนาซาเรท
ให้เราอ่านพระคัมภีร์ที่บรรยายเรื่องราวที่เราเลือกจะรำพึงภาวนา จากนั้นก็ปล่อยให้เรื่องราวนั้นไหลเข้าสู่จินตนาการของเรา โดยเราเริ่มต้นการไตร่ตรองรำพึงอย่างลึกซึ้งถึงเหตุการณ์ที่อ่านไปนั้นโดยจินตนาการว่าเราเองก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เพื่อที่จะรับรู้ถึงประสบการณ์ตรงจากเรื่องราวที่กำลังดำเนินไป
ให้เราใช้เวลาเพื่อพิจารณารายละเอียดของเหตุการณ์ เสียงที่ได้ยิน กลิ่น มองดูเครื่องแต่งกายและการพูดคุยกันของผู้คน ให้เราพิจารณาสีหน้า อารมณ์ความรู้สึก คำภาวนาต่างๆ ของตัวละครที่เราพบ และซึมซับสิ่งต่างๆ ทั้งหมดด้วยใจของเรา
แล้วให้เราร่วมเป็นส่วนหนึ่งในฉากเหตุการณ์นั้น
โดยร่วมยินดีไปกับบรรดาคนเลี้ยงแกะเมื่อพระกุมารบังเกิด ปลอบใจท่าน น.โยเซฟ
และพระแม่ หรือการได้อุ้มพระกุมารไว้ และการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ซ่อนเร้นของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
พระพรประการที่สอง คือ เราได้รับโอกาสที่จะทำให้เราได้สร้างความสัมพันธ์กับบรรดาบุคคลพิเศษที่อยู่ในแผนการไถ่กู้ของพระเจ้า นี่จะเป็นช่วงเวลาแสนพิเศษที่จะใช้โอกาสที่เราต้องอยู่คนเดียวตามลำพังเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับพระแม่มากยิ่งขึ้น พระแม่เป็นทั้งมารดาพระผู้ไถ่และอัครสาวกคนแรกของพระเยซูเจ้า ถ้าเราสังเกตบทบาทต่างๆ ของพระแม่ก็จะพบว่า พระแม่คือคนแรกที่ร้องขอแทนเราเสมอ
ระหว่างช่วงแห่งการภาวนาที่พิเศษนี้ ให้เราได้คุยกับ (พระ) แม่ ด้วยภาษาง่ายๆ
เล่าให้แม่ฟังว่าตอนนี้เราเป็นยังไงบ้าง และคอยฟังว่าแม่จะเล่าอะไรให้เราฟังบ้าง
ซึ่งบางทีแม่อาจเล่าเรื่องการทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า
ความกังวลใจและความเชื่อมั่นใจพระเจ้าในคืนพระกุมารบังเกิด หรืออาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับความขัดสนที่คอกสัตว์และการที่บรรดาคนเลี้ยงแกะมาร่วมยินดีกับพระแม่
เราจะได้รับการปลอบโยนทำให้เกิดความบรรเทาใจเป็นอย่างยิ่งจากการสนทนานี้
รหัสธรรมการไถ่กู้ที่เปี่ยมด้วยความรักและเมตตาของพระเจ้าซึ่งไม่เพียงลงมาบังเกิดในคอกเลี้ยงสัตว์ในคืนนั้น
พระองค์ยังสามารถเสด็จมาบังเกิดภายในคอกเลี้ยงสัตว์ของเราซึ่งก็คือภายในจิตใจของเราด้วยเช่นเดียวกัน
การหันมาพึ่งพระแม่จะทำให้เรามีพลัง
และเราสามารถขอให้พระแม่เป็นผู้วอนขอแทนเรา หรือเมื่อเราภาวนาเพื่อคนที่เรารัก
และสำหรับโลก ในยามที่เราโดดเดี่ยว
เรากลับกลายเป็นเครืองมือที่จะนำพระพรของพระเจ้าไปยังผู้อื่น
เรากำลังเปลี่ยนให้ความเดียวดายของเรากลายเป็นรหัสธรรมแห่งความรักและความเมตตาที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
คำว่ารางหญ้า หรือ Manger มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน แปลว่า “กิน” หรือ “To
eat” พระเยซูเจ้าผู้ทรงเสด็จมาท่ามกลางความยากจนข้นแค้นของพวกเรา
พระองค์ไม่เพียง “ประทับอยู่ท่ามกลางเรา” แต่ยังทรง “หล่อเลี้ยง” พวกเราด้วย รางหญ้าเป็นเครื่องหมายฝ่ายจิตที่หมายความว่าเราจะได้รับการหล่อเลี้ยงในจิตใจจากการที่พระองค์ทรงตอบรับเรา
รักเรา และประทานสันติสุขเมื่อพวกเรามาร่วมกันฉลองวันคริสตมาสกับพระองค์ จะไม่มีความมืดมิดที่ทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยว
จะไม่มีสถานการณ์ใด ความสูญเสียใด กระทั่งความเศร้าโศกใดที่ทำให้ต้องรู้สึกว่างเปล่าอีกต่อไป
และจะไม่มีบาปหรือความเห็นแก่ตัวใดที่จะแยกเราให้ออกห่างจากความรักของพระองค์ได้อีกเลย
บางทีพระพรในยามโดดเดี่ยวนี้อาจกลายเป็นของขวัญน้ำค่าสำหรับผู้ที่ยอมมอบตนไว้กับพระเจ้า
แม้ว่าบางเวลาความโดดเดี่ยวทำให้เราต้องรู้สึกไม่พอใจ
สงสารตัวเอง หรือโกรธ ซึ่งทำให้เราพาลโมโหคนอื่นและสิ่งต่างๆ รอบตัว อารมณ์ด้านลบเหล่านี้เป็นเหมือนมะเร็งร้ายที่กัดกร่อนจิตใจเรา
ทำให้เราสูญเสียความรู้สึกสันติสุขและความยินดีในใจ จนถึงขั้นแสดงอาการออกมาภายนอก
เช่น ชี้นิ้วไปที่คนอื่น หรือเคาะโต๊ะด้วยความไม่พอใจ เราไม่สามารถจะยอมรับใครหรืออะไรซักอย่าง
ฯลฯ
การยอมมอบตนเองไว้กับพระเจ้าและใช้โอกาสที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวนี้เข้าสู่การภาวนา
จะเป็นหนทางหนึ่งที่เราสามารถตระเตรียมตัวเองเพื่อต้องรับพระมหาไถ่ซึ่งพระองค์จะเสด็จมาในจิตใจของเราพร้อมกับของประทานจากพระองค์ซึ่งก็คือความเมตตาและสันติสุข
หากเป็นไปได้
เราอาจจะเตรียมการเฉลิมฉลองคริสตมาสด้วยการขอรับศีลแห่งการคืนดีก่อนล่วงหน้าเพื่อให้เราได้ซาบซึ้งถึงความอดทน
ความรัก และความเมตตาแห่งการอภัย ที่พระองค์มีต่อเรา
หรืออย่างน้อยๆ
เราสามารถใช้เวลาส่วนตัวอย่างศักดิ์สิทธิ์ในการพิจารณามโนธรรมด้วยความถ่อมตน ขอโทษพระองค์และทำกิจใช้โทษบาปแทน
เมื่อเราสามารถยอมรับความจริงเกี่ยวกับตัวเราได้ เราเป็นใคร? เราอยู่ที่ไหน? ฯลฯ
ก็จะเป็นเวลาที่เหมือนเราได้รับการยอมรับและได้รับการสวมกอดไว้ สิ่งที่ทำให้ความโกรธและการคิดถึงแต่ตัวเองนั้นจะค่อยๆ
มลายสลายไปได้
เมื่อเราสามารถเปิดใจของเราได้ ยอมมอบตนเองไว้กับพระเจ้า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ พระเจ้าข้า โปรดให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด”
การสำนึกถึงพระคุณของพระเจ้านั้นเป็นพระพรยิ่งใหญ่ของการฉลองวัน คริสตมาส ซึ่งแม้เราจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เราก็สามารถได้รับพระคุณนี้ได้เพียงแค่เราเปิดใจของเรา ใช้เวลากับการภาวนาอาจเพียงไม่กี่นาที หรืออาจใช้เวลานานกว่านี้ก็ได้ ซึ่งจะทำให้เราสามารถฉลองคริสตมาสที่เปี่ยมด้วยพระพรจากพระองค์ได้เสมอ
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อจิตใจเราเปี่ยมไปด้วยพระพรของพระเจ้าแล้ว เรายังสามารถบอกต่อให้ผู้อื่นได้รู้ว่า
“เราสามารถมอบของขวัญพิเศษจากการภาวนาเช่นนี้ได้อย่างไร”
เรียบเรียงโดย Amadeus
De Emmaus
จาก https://onlineministries.creighton.edu/CollaborativeMinistry/Advent/Christmas-Alone.html
Creighton University
A Jesuit Catholic University in Omaha, Nebraska, USA
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น